
Benefit
คุณประโยชน์ของมันม่วง
ประโยชน์ของมันม่วงที่เด่น ๆ นอกจากจะมีไฟเบอร์เยอะแล้ว ตัวสารต้านอนุมูลอิสระที่ชื่อว่าแอนโทไซยานินก็เป็นสรรพคุณสุดจี๊ดของมันม่วงเขาเหมือนกัน โดยกินมันม่วงแล้วก็จะได้ประโยชน์ตามนี้
1. ลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด
แอนโทไซยานินที่มีอยู่ในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านปฏิกิริยาออกซิเดชั่นของไขมัน โดยจะทำหน้าที่ยับยั้งการรวมตัวระหว่างออกซิเจนกับคอเลสเตอรอลชนิด LDL จากกระบวนการออกซิเดชั่น จึงถือว่ามันเทศสีม่วงมีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือดได้
2. ช่วยบำรุงผิวพรรณ และผม
สารต้านอนุมูลอิสระอย่างแอนโทไซยานินและสารฟลาโวนอยด์ในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติช่วยดูดซับอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย อีกทั้งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ยังมีฤทธิ์ต้านรังสียูวี ช่วยให้ผิวพรรณไม่โดนรังสียูวีทำร้าย นอกจากนี้สารอาหารในมันม่วงยังมีส่วนกระตุ้นให้เส้นผมดำ ชะลอการเกิดผมหงอกด้วยนะ
3. ชะลอความแก่
ผลการศึกษาของ น.ส.พัชรี มั่นคง นักศึกษาหลักสูตรพิษวิทยาทางอาหารและโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล โดยทดลองกับแมลงหวี่ ซึ่งมีระบบเอนไซม์คล้ายกับมนุษย์ พบว่า มันเทศสีม่วงมีส่วนช่วยชะลอความแก่ได้ 13% มันเทศสีเหลืองช่วยชะลอความแก่ได้ 11% โดยสารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านการเกิดไกลเคชั่น ซึ่งเป็นการทำปฏิกิริยาระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนในร่างกาย อันเป็นปัจจัยที่โน้มน้าวให้เซลล์เสื่อมหรือแก่ลง ซึ่งภาวะนี้มักจะพบได้มากในผู้สูงอายุ หรือในผู้ป่วยเบาหวาน ที่น้ำตาลในเลือดจะไปจับโปรตีนในเซลล์ ส่งผลให้เส้นเลือดเสื่อมสภาพเร็วกว่าที่ควร
4. ช่วยลดโรคแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวาน
ด้วยความที่สารต้านอนุมูลอิสระในมันเทศสีม่วงมีคุณสมบัติต้านการเกิดไกลเคชั่นระหว่างน้ำตาลกับโปรตีนในร่างกาย ดังนั้นการได้รับแอนโทไซยานินจากมันเทศสีม่วงก็ช่วยยับยั้งการจับตัวของน้ำตาลกับโปรตีนในระดับเซลล์ ส่งผลให้เซลล์ในร่างกายและเส้นเลือดเสื่อมน้อยลง ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนในผู้ป่วยเบาหวานได้
5. ต้านมะเร็ง
การศึกษาจากต่างประเทศโดยนักวิทยาศาสตร์ Wargovich, Chen, Jimenez, and Steele เมื่อปี ค.ศ. 1996 พบว่า สารสกัดจากแอนโทไซยานินมีคุณสมบัติป้องกันมะเร็งได้ โดยการใช้แอนโทไซยานินที่ระดับความเข้มข้นต่ำ สามารถยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งเต้านมของผู้ป่วยมะเร็งเต้านมที่เป็นอาสาสมัครได้
คุณประโยชน์ของฟักทอง
10 ประโยชน์ของ “ฟักทอง”
1.ฟักทอง เป็นหนึ่งในผักที่มีสีเหลืองออกส้ม ที่ช่วยบำรุง และรักษาสายตา
2.มีสารต้านอนุมูลอิสระ ทีช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
3.บำรุงผิวพรรณให้เต่งตึง ชุ่มชื่น ชะลอรอยเหี่ยวย่น
4.เสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย
5.ลดระดับน้ำตาลในเลือด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ป้องกันโรคเบาหวาน
6.ไขมันน้อย น้ำตาลน้อย กากใยอาหารสูง พลังงานต่ำ จึงเป็นอาหารที่เหมาะกับคนที่กำลังลดน้ำหนัก
7.ป้องกันโรคหลอดเลือด และหัวใจ
8.ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานอย่างเป็นปกติ จากกากใยอาหารที่มีอยู่สูง
9.ช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อหลังออกกำลังกาย
10.ป้องกันการเกิดโรคนิ่ว
Cr.https://www.sanook.com/health/6181/
คุณค่าทางโภชนาการของกล้วย
1.ลดระดับคอเลสเตอรอล การควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้สูงเกินไปเป็นหนึ่งในปัจจัยที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคอื่น ๆ ตามมา เช่น โรคเบาหวานและโรคหลอดเลือดหัวใจ เหตุที่เชื่อกันว่ากล้วยอาจมีคุณสมบัตินี้ เนื่องจากกล้วยเป็นแหล่งเส้นใยอาหารที่ดีต่อสุขภาพ โดยกล้วยขนาดกลางนั้นให้เส้นใยอาหารประมาณ 3 กรัม ซึ่งเทียบเท่ากับ 10 เปอร์เซ็นต์ของเส้นใยอาหารที่ร่างกายคนเราต้องการในแต่ละวัน เมื่อรับประทานจึงรู้สึกอิ่ม แต่กลับให้ปริมาณแคลอรีเพียงเล็กน้อย และช่วยควบคุมระดับคอเลสเตอรอลไม่ให้สูงเกินไปได้
สำหรับการศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการลดระดับคอเลสเตอรอลของกล้วย มีการให้อาสาสมัครที่มีภาวะคอเลสเตอรอลสูงจำนวน 30 คน และผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 จำนวน 15 คน รับประทานกล้วยเป็นอาหารเช้าในปริมาณ 250 หรือ 500 กรัม ทุกวัน นาน 12 สัปดาห์ ผลปรากฏว่าระดับน้ำตาลและคอเลสเตอรอลในเลือดของกลุ่มที่มีคอเลสเตอรอลสูงลดลงอย่างมีนัยสำคัญหลังจากรับประทานกล้วยไปแล้วเป็นเวลา 2 ชั่วโมง ส่วนในผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นไม่พบการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำตาลหรือไขมันในเลือดมากนัก แต่พบว่าระดับของฮอร์โมนอดิโพเนคตินที่ทำหน้าที่ควบคุมน้ำตาลและไขมัน ซึ่งมักจะลดลงต่ำในผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นกลับเพิ่มขึ้น ส่วนด้านความปลอดภัย การบริโภคกล้วยเป็นประจำวันละ 250 กรัม ไม่เป็นอันตรายต่อผู้ป่วยเบาหวานและผู้ป่วยภาวะคอเลสเตอรอลสูงแต่อย่างใด จากข้อสรุปดังกล่าว เชื่อว่าหากมีงานวิจัยที่ดีเพิ่มเติมต่อไปคงจะสามารถระบุได้ว่าการรับประทานกล้วยช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลได้ผลจริงหรือไม่
2.โรคเบาหวาน งานวิจัยหนึ่งศึกษาเกี่ยวกับประสิทธิภาพในการควบคุมน้ำหนักและระดับความไวต่ออินซูลินในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ด้วยการเปรียบเทียบระหว่างการใช้พลังงานจากกล้วยที่เก็บโดยรวมจากทั่วประเทศกับนมถั่วเหลืองอย่างละ 24 กรัมที่นำมาละลายในน้ำ 240 มิลลิลิตร ให้ดื่มทุกวันเป็นเวลา 4 สัปดาห์ โดยแบ่งเป็น 2 ระยะ ช่วยให้ผู้ป่วยโรคนี้มีน้ำหนักตัวลดลง ทั้งยังส่งผลให้อินซูลินในเลือดและความต้านทานต่ออินซูลินลดต่ำกว่าปกติ แต่ก็ลดลงไม่มากนักเมื่อเทียบกับอีกกลุ่มที่รับประทานนมถั่วเหลือง
ดังนั้น การศึกษานี้จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าการรับประทานกล้วยเป็นอาหารช่วยเสริมเส้นใยอาหารจะช่วยให้อาการของโรคเบาหวานดีขึ้น นอกจากนี้กล้วยยังเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ผู้ป่วยเบาหวานควรรับประทานอย่างระมัดระวัง เนื่องจากมีคาร์โบไฮเดรตสูง เมื่อเปลี่ยนเป็นน้ำตาลจึงอาจส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นได้ แต่ไม่ถึงกับต้องหลีกเลี่ยง ผู้ป่วยเบาหวานจะสามารถรับประทานกล้วยในขนาดปานกลางเป็นของว่างได้ประมาณครึ่งลูก
3.ลดน้ำหนัก สูตรลดความอ้วนที่แนะนำกันมากในอินเทอร์เน็ตก็คือการรับประทานกล้วยแทนมื้ออาหาร โดยเชื่อว่ากล้วยนั้นช่วยให้อิ่มท้อง ให้พลังงานต่อร่างกายได้อย่างดี ในขณะที่มีแคลอรีต่อลูกไม่มาก อย่างไรก็ดี ปัจจุบันไม่มีข้อมูลที่น่าเชื่อถือยืนยันได้ว่ากล้วยช่วยลดน้ำหนักได้จริง ที่สำคัญวิธีนี้อาจไม่ใช่สิ่งดีต่อสุขภาพ เพื่อความปลอดภัยและได้ผลดีต่อสุขภาพอย่างแท้จริง ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักควรรับประทานอาหารให้ครบถ้วนเพียงพอ และไม่ลืมออกกำลังกายเผาผลาญไขมันควบคู่ไปด้วยอย่างสม่ำเสมอ